บทที่ 5 อุปกรณ์เครือข่าย
การ์ด (lan)
เครื่องพีซีจะเชื่อต่อกันเป็นระบบ LAN ขึ้นมานั้น
แต่ละเครื่องต้องติดตั้งการ์ด LAN เครื่องรุ่นใหม่ๆอาจจะมีการ์ด
LAN
ฝังตัวอยู่ในบอร์ดให้แล้ว (Lan Onboard) หรือในโน๊ตบุ๊คใหม่ๆก็มักจะมีพอร์ต
LAN มาให้แล้ว โดยส่วนใหญ่จะมี
ความเร็ว 1000หรือ100 เมกกะบิต
(ถ้าเป็นรุ่นเก่าจะมีความเร็วเพียง 10 เมกกะบิตต่อวินาทีเท่านั้น)
เรียกว่าเป็น
Fast Ethernet และบางแบบก็อาจใช้ได้ทั้ง 2 ความเร็วโดยสามารถปรับแบบอัตโนมัติแล้วแต่จะไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
Hub หรือ Switch แบบใดการ์ด LAN
รุ่นใหม่จะมีคุณสมบัติ Plug&Play หรือ PnP
มักเสียบเข้ากับสล๊อตแบบ PCI
(การ์ดรุ่นเก่าจะใช้กับสล๊อตแบบ ISA ซึ่งไม่ค่อยพบแล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึง)
โดยมีช่องด้านหลังเครื่องให้เสียบสายได้
ฮับ(hub)
ฮับ(hub) เป็นอุปกรณ์ที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหลายๆ
สถานี เข้าด้วยกัน ฮับเปรียบเสมือนเป็นบัสที่รวม
อยู่ที่จุดเดียวกัน
ฮับที่ใช้งานอยู่ภายใต้มาตรฐานการรับส่งแบบอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE802.3 ข้อมูลที่รับส่งผ่านฮับจาก
เครื่องหนึ่งจะกระจายไปยังทุกสถานีที่ต่ออยู่บนฮับนั้น
ดังนั้น ทุกสถานีจะรับสัญญาณข้อมูลที่กระจายมาได้ทั้งหมด
แต่จะเลือกคัดลอกเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเท่านั้น
การตรวจสอบข้อมูลจึงต้องดูที่แอดเดรส(address)ที่กำกับมาใน
กลุ่มของข้อมูลหรือแพ็กเก็ต
สวิตซ์(switch)
กล่าวคือ การรับส่งข้อมูลจากสถานี (อุปกรณ์) ตัวหนึ่ง จะไม่กระจายไปยังทุกสถานี (อุปกรณ์) เหมือนฮับ ทั้งนี้เพราะ
สวิตช์จะรับกลุ่มข้อมูล(แพ็กเก็ต) มาตรวจสอบก่อน แล้วดูว่ามา แอดเดรสของสถานีปลายทางไปที่ใด สวิตช์จะนำ
แพ็กเก็ตหรือกลุ่มข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังสถานี (อุปกรณ์) เป้าหมายให้อย่างอัตโนมัติ สวิตช์จะลดปัญหาการชนกันของ
ข้อมูลเพราะไม่ต้องกระจายข้อมูลไปทุกสถานี และยังมีข้อดีในเรื่องการป้องกันการดักจับข้อมูลที่กระจายไปในเครือข่าย
เราเตอร์ (router)
อุปกรณ์จัดเส้นทางจะหาเส้นทางที่เหมาะสมให้การที่อุปกรณ์จัดหาเส้นทางเลือกเส้นทางได้ถูกต้องเพราะแต่ละสถานี
ภายในเครือข่ายมีแอดเดรสกำกับ อุปกรณ์จัดเส้นทางต้องรับรู้ตำแหน่งและสามารถนำข้อมูลออกทางเส้นทางได้ถูกต้อง
ตามตำแหน่งแอดเดรสที่กำกับอยู่ในเส้นทางนั้น รวมทั้งการจัดรูปแบบและนำเสนอข้อมูล โดยกำหนด
สาย UTP
(Unshield Twisted Pair)
RJ-45 ซึ่งมีทั้งหมด 8 ขา สายแบบนี้ที่เข้าหัวไว้แล้วจะหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป หรือจะซื้อ
แบบเป็นม้วนมาตัดเข้าหัวเองก็ได้ แต่ต้องมีเครื่องมือหรือคีมเข้าหัว RJ-45 โดยเฉพาะ มีข้อจำกัดคือ จะต้องยาวไม่เกิน
100 เมตร จากเครื่องไปยัง Switch และแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งาน คือ
• สายตรง (Straight-through Cable) คือสายปกติที่ใช้เชื่อมระหว่างการ์ด LAN และ Hub / Switch
• สายไขว้ (Crossover Cable) ใช้ต่อการ์ด LAN บนคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือพอร์ตของ Hub หรือ Switch 2 ตัวโดยตรง
เพื่อเพิ่มขยายพอร์ต ซึ่งวิธีการเข้าหัวจะต่างจากปกติ
5.1การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LAN
gป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่าและควรเป็น
การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ
ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมักจะไม่มี Slot ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbpsซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ
10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่งขอมูลได้เร็วกว่า
นอกจากนี้คุณควรคำหนึงถึงขั้วต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์
ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC , RJ-45 เป็นต้น ซึ่งคอนเน็กเตอร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่แตกต่างกัน
วิธีการต่อสาย
LAN
1. ก่อนอื่นให้คุณตัดฉนวน
PVC ที่หุ้มสายออกโดยให้ตัดห่างจากปลายสายเข้ามาประมาณครึ่งนิ้ว
(17/32 นิ้ว)
2. จากนั้นตัดสาย Shieled ที่มีลักษณะเป็นร่างแหชั้นที่ 2 ออก โดยตัดให้ห่างจากปลายสายเข้ามา 8/32 นิ้ว หรือ 1/4 นิ้ว 3. จากนั้นให้คุณตัดฉนวนสีขาวชั้นในออก โดยตัดให้ห่างจากปลายสายเข้ามาประมาณ 6/32 นิ้ว 4. หลังจากที่เตรียมสายเสร็จแล้ว ให้คุณนำตัว BNC Connector หรือขั้วต่อมาเชื่อมต่อ โดยขั้วต่อจะมีส่วนประกอบทั้งหมด 3 ส่วนดังนี้ 5. ให้คุณนำเอาสายที่ได้เตรียมไว้สวมเข้าไปในส่วนที่ 1 ไว้ก่อน 6. นำส่วนที่ 2 ที่มีลักษณะเป็นเข้มเล็กๆมาสวมกับสายที่ได้เตรียมไว้ หากคุณตัดสายได้ตามสัดส่วนที่กำหนดสายจะพอดีหัวขั้ว 7. นำสายไปเสียบกับหัวขั้วส่วนที่ 3 แล้วเลื่อนปลอกเข้ามาให้ชิดกับหัวขั้วและใช้คีมบีบปลอกให้ยึดติดกับหัวขั้วและสาย 8. ทำตามขั้นตอนกับสายอีกด้านก็จะได้สายที่พร้อมใช้งาน 1 เส้น
5.2สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล
ประเภทเทคโนโลยี
สื่อนำข้อมูล มี 2 แบบ คือแบบมีสาย และ แบบไร้สาย สื่อนำข้อมูลแบบมีสาย ( wired media ) สื่อข้อมูลแบบมีสายที่นิยมใช้ มี 3 ชนิดดังนี้ 1. สายคู่บิตเกลียว ( twisted-pair cable )2. สายโคแอกเชียล ( coaxial cable ) 3. สายใยแก้วนำแสง ( optical fiber cable ) แต่ในที่นี้จะมากล่าวถึง สายโคแอกเชียล สายโคแอกเชียล ( coaxial cable ) สายโคแอกเชียล เป็นสายสัญญาณนำข้อมูลไฟฟ้า มีความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100 MHz ถึง 500 MHz สายโคแอกเชียลมีความเร็ว ในการส่งข้อมูลและมีราคาสูงกว่าสายคู่บิดเกลียว ลักษณะของสายโคแอกเชียลเป็นสายนำสัญญาณที่มีฉนวนหุ้มเป็นชั้นๆ หลายชั้นสลับกับตัวโลหะ ตัวนำโลหะชั้นใน สายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable) 2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable)สายโคแอ็กซ์แบบบาง สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable หรือ Thinnet Cable) เป็นสาย
ที่มีขนาดเล็ก
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cmเนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้กับการติดตั้ง
เครือข่ายเกือบทุกประเภท สายประเภทนี้สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตรก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลังลงบริษัท
ผู้ผลิตสายโคแอ็กซ์ได้ลงความเห็นร่วมกันในการแบ่งประเภทของสายโคแอกซ์
สายโคแอ็กซ์แบบบางได้ถูกรวมไว้ในสาย
ประเภท RG-58 ซึ่งสายประเภทนี้จะมีความต้านทาน (Impedance) ที่
50 โอห์ม สายประเภทนี้จะมีแกนกลางอยู่ 2 ลักษณะคือแบบที่เป็นสายทองแดงเส้นเดียวและแบบที่เป็นใยโลหะหลายเส้น สายโคแอ็กซ์แบบหนา สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thicknet Cable) เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้างแข็งและขนาดใหญ่กว่า
สายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cmสายโคแอ็กซ์แบบหนานี้เป็นสายสัญญาณประเภทแรก
ที่ใช้กับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ตส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่กว่าดังนั้น
สายโคแอ็กซ์แบบหนานี้จึงสามารถนำสัญญาณได้ไกลกว่าแบบบาง
โดยสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตรด้วย
ความสามารถนี้สายโคแอ็กซ์แบบหนาจึงนิยมใช้ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล
หรือ แบ็คโบน(Backbone)
ของเครือข่ายสมัยแรก ๆ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้สายโคแอ็กซ์แล้ว
โดยสายที่นิยมใช้ทำเป็นแบ็คโบนคือ สายใยแก้วนำแสง
ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในส่วนต่อไปเปรียบเทียบระหว่าง
Thinnet และ Thicknetตามกฎการนำสัญญาณ
สายที่ใหญ่กว่าย่อมนำสัญญาณได้ดีกว่าสายธิกค์เน็ต (Thicknet)จะยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าเนื่องจากเป็นสายที่
ค่อนข้างแข็งแรง ในขณะที่สายแบบธินเน็ต (Thinnet)
มีความยืดหยุ่นที่ดีกว่าทำให้ง่ายต่อการติดตั้งและราคาก็ถูกกว่าความยืดหยุ่นของสายมีผลต่อการติดตั้งเมื่อเดินสาย
ผ่านท่อขนาดเล็กที่ติดบนฝ้าเพดาน
ทำให้เป็นที่นิยมมากกว่า
การสื่อสารไร้สาย
คือการแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นดิจิตอล โดยใช้แถบเสียงขนาด 4 กิโลเฮิร์ตซ์ต่อวินาที ใช้อัตรา
สุ่ม 8,000 ครั้งต่อวินาที ได้สัญญาณดิจิตอลขนาด 64 กิโลบิตต่อวินาที แถบเสียงแบบดิจิตอลจึงเป็นข้อมูลที่มีการรับ
ส่งกันมากที่สุดในโลกอยู่ขณะนี้พัฒนาการของการสื่อสารไร้สายเริ่มเมื่อปี
1983 โดยระบบเซลลูลาร์เริ่มพัฒนาขึ้น
อะนาล็อกโดยใช้คลื่นความถี่ที่ 824-894 เมกะเฮิร์ตซ์
ใช้หลักการแบ่งช่องทางความถี่หรือที่เรียกว่า FDMA-Frequency
Division Multiple Accessต่อมาปี 1990
กลุ่มผู้พัฒนาระบบเซลลูลาร์ได้พัฒนามาตรฐานใหม่ให้ชื่อระบบ GSM-Global
System for Mobile Communication เชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วโลก
ใช้วิธีการเข้าถึงช่องสัญญาณด้วยระบบ
TDMA-Time Division Multiple Access โดยใช้ความถี่ในการติดต่อกับสถานีเบสที่ 890-960 เมกะเฮิร์ตซ์
สำหรับพัฒนาการของโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์แบ่งออกเป็นยุค
ดังนี้
ยุค 1G การรับส่งสัญญาณใช้วิธีการมอดูเลตสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่องสื่อสารโดยใช้การ แบ่งความถี่ออกมาเป็น
ช่องเล็กๆ
วิธีการนี้มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนช่องสัญญาณ และการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ติดขัดเรื่องการขยายจำนวน
เลขหมาย
และการขยายแถบความถี่ ทั้งตัวเครื่องโทรศัพท์เซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่
ใช้กำลังงานไฟฟ้ามาก
ยุค 2G เป็นยุคเข้ารหัสสัญญาณเสียง
บีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอลให้มีขนาดจำนวนข้อมูลน้อยลงเหลือเพีย
ง ประมาณ 9 กิโลบิตต่อวินาที ต่อช่องสัญญาณ การติดต่อจากสถานีลูก
หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบสใช้วิธีการ
2 แบบคือ
การแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็กๆ และแบ่งกันใช้
ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิม
กับแบบแบ่งการเข้าถึงตามการเข้ารหัสและการถอดรหัส
ยุค 3G เป็นยุคแห่งอนาคตอันใกล้ โดยสร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่าได้ เรียกว่า Universal Mobile
Telecommunication Systems (UMTS) โดยมุ่งหวังว่า การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สาย สามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์
หลากหลาย
เช่น จากคอมพิวเตอร์ จากเครื่องใช้ไฟฟ้า
5.3 อุปกรณ์เครือข่ายอื่น
ๆ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น