วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

บทที่ 5 อุปกรณ์เครือข่าย

บทที่ 5  อุปกรณ์เครือข่าย


การ์ด (lan)
เครื่องพีซีจะเชื่อต่อกันเป็นระบบ LAN ขึ้นมานั้น แต่ละเครื่องต้องติดตั้งการ์ด LAN เครื่องรุ่นใหม่ๆอาจจะมีการ์ด LAN
ฝังตัวอยู่ในบอร์ดให้แล้ว (Lan Onboard) หรือในโน๊ตบุ๊คใหม่ๆก็มักจะมีพอร์ต LAN มาให้แล้ว โดยส่วนใหญ่จะมี

ความเร็ว 1000หรือ100 เมกกะบิต (ถ้าเป็นรุ่นเก่าจะมีความเร็วเพียง 10 เมกกะบิตต่อวินาทีเท่านั้น) เรียกว่าเป็น 

Fast Ethernet และบางแบบก็อาจใช้ได้ทั้ง 2 ความเร็วโดยสามารถปรับแบบอัตโนมัติแล้วแต่จะไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
Hub หรือ Switch แบบใดการ์ด LAN รุ่นใหม่จะมีคุณสมบัติ Plug&Play หรือ PnP มักเสียบเข้ากับสล๊อตแบบ PCI
(การ์ดรุ่นเก่าจะใช้กับสล๊อตแบบ ISA ซึ่งไม่ค่อยพบแล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึง) โดยมีช่องด้านหลังเครื่องให้เสียบสายได้

ฮับ(hub)
ฮับ(hub) เป็นอุปกรณ์ที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหลายๆ สถานี เข้าด้วยกัน ฮับเปรียบเสมือนเป็นบัสที่รวม
อยู่ที่จุดเดียวกัน ฮับที่ใช้งานอยู่ภายใต้มาตรฐานการรับส่งแบบอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE802.3 ข้อมูลที่รับส่งผ่านฮับจาก
เครื่องหนึ่งจะกระจายไปยังทุกสถานีที่ต่ออยู่บนฮับนั้น ดังนั้น ทุกสถานีจะรับสัญญาณข้อมูลที่กระจายมาได้ทั้งหมด
แต่จะเลือกคัดลอกเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเท่านั้น การตรวจสอบข้อมูลจึงต้องดูที่แอดเดรส(address)ที่กำกับมาใน
กลุ่มของข้อมูลหรือแพ็กเก็ต 
สวิตซ์(switch)

สวิตซ์(switch) เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหลายสถานีเช่นเดียวกับฮับ แต่มีข้อแตกต่างจากฮับ
กล่าวคือ การรับส่งข้อมูลจากสถานี (อุปกรณ์) ตัวหนึ่ง จะไม่กระจายไปยังทุกสถานี (อุปกรณ์) เหมือนฮับ ทั้งนี้เพราะ
สวิตช์จะรับกลุ่มข้อมูล(แพ็กเก็ต) มาตรวจสอบก่อน แล้วดูว่ามา แอดเดรสของสถานีปลายทางไปที่ใด สวิตช์จะนำ
แพ็กเก็ตหรือกลุ่มข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังสถานี (อุปกรณ์) เป้าหมายให้อย่างอัตโนมัติ สวิตช์จะลดปัญหาการชนกันของ

ข้อมูลเพราะไม่ต้องกระจายข้อมูลไปทุกสถานี และยังมีข้อดีในเรื่องการป้องกันการดักจับข้อมูลที่กระจายไปในเครือข่าย


เราเตอร์ (router)

เราเตอร์ (router) ในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน หรือเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายอย่างเข้าด้วยกัน
ดังนั้นจึงมีเส้นทางการเข้าออกของข้อมูลได้หลายเส้นทาง และแต่ละเส้นทางอาจใช้เทคโนโลยีเครือข่ายที่ต่างกัน 
อุปกรณ์จัดเส้นทางจะหาเส้นทางที่เหมาะสมให้การที่อุปกรณ์จัดหาเส้นทางเลือกเส้นทางได้ถูกต้องเพราะแต่ละสถานี
ภายในเครือข่ายมีแอดเดรสกำกับ อุปกรณ์จัดเส้นทางต้องรับรู้ตำแหน่งและสามารถนำข้อมูลออกทางเส้นทางได้ถูกต้อง

ตามตำแหน่งแอดเดรสที่กำกับอยู่ในเส้นทางนั้น รวมทั้งการจัดรูปแบบและนำเสนอข้อมูล โดยกำหนด

สาย UTP (Unshield Twisted Pair)

สาย UTP (Unshield Twisted Pair) สายที่ใช้กับ LAN เรียกว่าสาย UTP (Unshield Twisted Pair) ซึ่งใช้หัวต่อแบบ
RJ-45 ซึ่งมีทั้งหมด 8 ขา สายแบบนี้ที่เข้าหัวไว้แล้วจะหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป หรือจะซื้อ
แบบเป็นม้วนมาตัดเข้าหัวเองก็ได้ แต่ต้องมีเครื่องมือหรือคีมเข้าหัว RJ-45 โดยเฉพาะ มีข้อจำกัดคือ จะต้องยาวไม่เกิน
 100 เมตร จากเครื่องไปยัง Switch และแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งาน คือ
สายตรง (Straight-through Cable) คือสายปกติที่ใช้เชื่อมระหว่างการ์ด LAN และ Hub / Switch 
สายไขว้ (Crossover Cable) ใช้ต่อการ์ด LAN บนคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือพอร์ตของ Hub หรือ Switch 2 ตัวโดยตรง
เพื่อเพิ่มขยายพอร์ต ซึ่งวิธีการเข้าหัวจะต่างจากปกติ


5.1การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LAN


gป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่าและควรเป็น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมักจะไม่มี Slot  ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbpsซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่งขอมูลได้เร็วกว่า นอกจากนี้คุณควรคำหนึงถึงขั้วต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์ ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC , RJ-45 เป็นต้น ซึ่งคอนเน็กเตอร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่แตกต่างกัน

วิธีการต่อสาย LAN
1.  ก่อนอื่นให้คุณตัดฉนวน PVC  ที่หุ้มสายออกโดยให้ตัดห่างจากปลายสายเข้ามาประมาณครึ่งนิ้ว  (17/32 นิ้ว)
2.  จากนั้นตัดสาย Shieled  ที่มีลักษณะเป็นร่างแหชั้นที่ 2 ออก  โดยตัดให้ห่างจากปลายสายเข้ามา  8/32 นิ้ว หรือ 1/4 นิ้ว
3.  จากนั้นให้คุณตัดฉนวนสีขาวชั้นในออก โดยตัดให้ห่างจากปลายสายเข้ามาประมาณ 6/32 นิ้ว
                  4.  หลังจากที่เตรียมสายเสร็จแล้ว  ให้คุณนำตัว BNC Connector หรือขั้วต่อมาเชื่อมต่อ  โดยขั้วต่อจะมีส่วนประกอบทั้งหมด 3 ส่วนดังนี้
5.  ให้คุณนำเอาสายที่ได้เตรียมไว้สวมเข้าไปในส่วนที่ 1 ไว้ก่อน
6. นำส่วนที่ 2 ที่มีลักษณะเป็นเข้มเล็กๆมาสวมกับสายที่ได้เตรียมไว้ หากคุณตัดสายได้ตามสัดส่วนที่กำหนดสายจะพอดีหัวขั้ว
7.  นำสายไปเสียบกับหัวขั้วส่วนที่ 3  แล้วเลื่อนปลอกเข้ามาให้ชิดกับหัวขั้วและใช้คีมบีบปลอกให้ยึดติดกับหัวขั้วและสาย
8.  ทำตามขั้นตอนกับสายอีกด้านก็จะได้สายที่พร้อมใช้งาน 1 เส้น

5.2สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล



ระเภทเทคโนโลยี

สื่อนำข้อมูล มี 2 แบบ คือแบบมีสาย และ แบบไร้สาย 
สื่อนำข้อมูลแบบมีสาย ( wired media ) สื่อข้อมูลแบบมีสายที่นิยมใช้ มี 3 ชนิดดังนี้
1. สายคู่บิตเกลียว ( twisted-pair cable )2. สายโคแอกเชียล ( coaxial cable )
3. สายใยแก้วนำแสง ( optical fiber cable )
แต่ในที่นี้จะมากล่าวถึง สายโคแอกเชียล
สายโคแอกเชียล ( coaxial cable ) สายโคแอกเชียล เป็นสายสัญญาณนำข้อมูลไฟฟ้า
มีความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100 MHz ถึง 500 MHz สายโคแอกเชียลมีความเร็ว
ในการส่งข้อมูลและมีราคาสูงกว่าสายคู่บิดเกลียว
ลักษณะของสายโคแอกเชียลเป็นสายนำสัญญาณที่มีฉนวนหุ้มเป็นชั้นๆ หลายชั้นสลับกับตัวโลหะ ตัวนำโลหะชั้นใน

สายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable) 2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา
(Thick Coaxial Cable)สายโคแอ็กซ์แบบบาง สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable หรือ Thinnet Cable) เป็นสาย

ที่มีขนาดเล็ก
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cmเนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้กับการติดตั้ง
เครือข่ายเกือบทุกประเภท สายประเภทนี้สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตรก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลังลงบริษัท
ผู้ผลิตสายโคแอ็กซ์ได้ลงความเห็นร่วมกันในการแบ่งประเภทของสายโคแอกซ์ สายโคแอ็กซ์แบบบางได้ถูกรวมไว้ในสาย
ประเภท RG-58 ซึ่งสายประเภทนี้จะมีความต้านทาน (Impedance) ที่
50 โอห์ม สายประเภทนี้จะมีแกนกลางอยู่ 2 ลักษณะคือแบบที่เป็นสายทองแดงเส้นเดียวและแบบที่เป็นใยโลหะหลายเส้น
สายโคแอ็กซ์แบบหนา สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thicknet Cable) เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้างแข็งและขนาดใหญ่กว่า
สายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cmสายโคแอ็กซ์แบบหนานี้เป็นสายสัญญาณประเภทแรก
ที่ใช้กับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ตส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่กว่าดังนั้น
สายโคแอ็กซ์แบบหนานี้จึงสามารถนำสัญญาณได้ไกลกว่าแบบบาง โดยสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตรด้วย
ความสามารถนี้สายโคแอ็กซ์แบบหนาจึงนิยมใช้ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล หรือ แบ็คโบน(Backbone)
ของเครือข่ายสมัยแรก ๆ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้สายโคแอ็กซ์แล้ว โดยสายที่นิยมใช้ทำเป็นแบ็คโบนคือ สายใยแก้วนำแสง
 ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในส่วนต่อไปเปรียบเทียบระหว่าง Thinnet และ Thicknetตามกฎการนำสัญญาณ
สายที่ใหญ่กว่าย่อมนำสัญญาณได้ดีกว่าสายธิกค์เน็ต (Thicknet)จะยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าเนื่องจากเป็นสายที่
ค่อนข้างแข็งแรง ในขณะที่สายแบบธินเน็ต (Thinnet)
มีความยืดหยุ่นที่ดีกว่าทำให้ง่ายต่อการติดตั้งและราคาก็ถูกกว่าความยืดหยุ่นของสายมีผลต่อการติดตั้งเมื่อเดินสาย
ผ่านท่อขนาดเล็กที่ติดบนฝ้าเพดาน
ทำให้เป็นที่นิยมมากกว่า



การสื่อสารไร้สาย คือการแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นดิจิตอล โดยใช้แถบเสียงขนาด 4 กิโลเฮิร์ตซ์ต่อวินาที ใช้อัตรา
สุ่ม 8,000 ครั้งต่อวินาที ได้สัญญาณดิจิตอลขนาด 64 กิโลบิตต่อวินาที แถบเสียงแบบดิจิตอลจึงเป็นข้อมูลที่มีการรับ
ส่งกันมากที่สุดในโลกอยู่ขณะนี้พัฒนาการของการสื่อสารไร้สายเริ่มเมื่อปี 1983 โดยระบบเซลลูลาร์เริ่มพัฒนาขึ้นใช้งาน ระบบแรกเรียกว่า ระบบ AMPS-Analog Advance Mobile Phone Service สามารถส่งสัญญาณไร้สายแบบ
อะนาล็อกโดยใช้คลื่นความถี่ที่ 824-894 เมกะเฮิร์ตซ์ ใช้หลักการแบ่งช่องทางความถี่หรือที่เรียกว่า FDMA-Frequency
 Division Multiple Accessต่อมาปี 1990 กลุ่มผู้พัฒนาระบบเซลลูลาร์ได้พัฒนามาตรฐานใหม่ให้ชื่อระบบ GSM-Global
 System for Mobile Communication เชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วโลก ใช้วิธีการเข้าถึงช่องสัญญาณด้วยระบบ
TDMA-Time Division Multiple Access โดยใช้ความถี่ในการติดต่อกับสถานีเบสที่ 890-960 เมกะเฮิร์ตซ์


สำหรับพัฒนาการของโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์แบ่งออกเป็นยุค ดังนี้ 

ยุค 1G การรับส่งสัญญาณใช้วิธีการมอดูเลตสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่องสื่อสารโดยใช้การ แบ่งความถี่ออกมาเป็น
ช่องเล็กๆ วิธีการนี้มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนช่องสัญญาณ และการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ติดขัดเรื่องการขยายจำนวน
เลขหมาย และการขยายแถบความถี่ ทั้งตัวเครื่องโทรศัพท์เซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่ ใช้กำลังงานไฟฟ้ามาก
ยุค 2G เป็นยุคเข้ารหัสสัญญาณเสียง บีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอลให้มีขนาดจำนวนข้อมูลน้อยลงเหลือเพีย
ง ประมาณ 9 กิโลบิตต่อวินาที ต่อช่องสัญญาณ การติดต่อจากสถานีลูก หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบสใช้วิธีการ
2 แบบคือ การแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็กๆ และแบ่งกันใช้ ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิม
กับแบบแบ่งการเข้าถึงตามการเข้ารหัสและการถอดรหัส

ยุค 3G เป็นยุคแห่งอนาคตอันใกล้ โดยสร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่าได้ เรียกว่า Universal Mobile
Telecommunication Systems (UMTS) โดยมุ่งหวังว่า การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สาย สามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์
หลากหลาย เช่น จากคอมพิวเตอร์ จากเครื่องใช้ไฟฟ้า

5.3 อุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ                                              

          เป็นอุปกรณ์ช่วยกระจ่ายสัญญาณไปยังเครื่องต่างๆที่อยู่ในระบบ หากเป็นระบบเครือข่ายที่มี 2 เครื่องก็ไม่

จำเป็นต้องใช้ฮับสามารถใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อ ถึงกันได้โดยตรง  แต่หากเป็นระบบที่มีมากกว่า 2 เครื่องจำเป็นต้อง

มีฮับเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ในการเลือกซื้อฮับควรเลือกฮับที่มีความเร็วเท่ากับความเร็ว ของการ์ด เช่น  การ์ดมีความเร็ว

  100 Mbps ก็ควรเลือกใช้ฮับที่มีความเร็วเป็น 100 Mbps ด้วย ควรเป็นฮับที่มีจำนวนพอร์ตสำหรับต่อสายที่เพียงพอกับ

 เครื่องใช้ในระบบ  หากจำนวนพอร์ตต่อสายไม่เพียงพอก็สามารถต่อพ่วงได้  แนะนำว่าควรเลือกซื้อฮับที่สามารถต่อพ่วงได้

  เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต

         Swich(สวิตซ์) คือ อุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ใสเลเยอร์ที่ 2 Swich บางทีก็เรียกว่า Switching Hub (สวิตชิ่งฮับ)
ซึ่งในช่วงแรกนั้นจะเรียกว่า Bridge (บริดจ์) เหตุผลที่เรียกว่าบริดจ์ในช่วงแรกนั้น เพราะส่วนใหญ่บริดจ์จะมีแค่สองพอร์ต
 และใช้สำหรับแยกคอลลิชันโดเมน ปัจจุบันที่เรียกว่า Swichเพราะหมายถึง บริดจ์ที่มีมากกว่าสองพอร์ตนั่นเอง


          Swich จะฉลาดกว่า Hub คือ Swich สามารถส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังเฉพาะพอร์ตที่เป็นปลาย
ทางเท่า นั้น ทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือสามารถส่งข้อมูลถึงกัน และกันได้ในเวลาเดียวกัน การทำเช่น
นี้ทำให้อัตราการส่งข้อมูล หรือแบนด์วิธไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Swich คอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
จะมีแบนด์วิธเท่ากับแบนด์วิธของSwich

Gateway

            เป็นจุดต่อเชื่อมของเครือข่ายทำหน้าที่เป็นทางเข้าสู่ระบบเครือข่ายต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต ในความหมายของ
router ระบบเครือข่ายประกอบด้วย node ของ gateway และ node ของ host เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ในเครือข่าย
และคอมพิวเตอร์ที่เครื่องแม่ข่ายมีฐานะเป็น node แบบ host ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการจราจรภายในเครือข่าย
 หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต คือ node แบบ gateway
ในระบบเครือข่ายของหน่วยธุรกิจ เครื่องแม่ข่ายที่เป็น node แบบ gateway มักจะทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายแบบ proxy
และเครื่องแม่ข่ายแบบ firewall นอกจากนี้ gateway ยังรวมถึง router และ switch

Modem (โมเด็ม)

โมเด็มมาจากคำว่า MOdulator/DEModulator โดยแยกการทำงานออกเป็น Modulation คือการแปลงสัญญาณดิจิตอล
 จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ และ Demodulation
คือการเปลี่ยนจากสัญญาณอะนาลอก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งต่อไปยัง
เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง สัญญาณจากคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณ Digital มีแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็น
สัญญาณอะนาลอกอยู่ในรูปที่คล้ายกับสัญญาณไฟฟ้าของ โทรศัพท์ จึงส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ สำหรับปัจจุบันนี้
ความไวของโมเด็มจะสูงขึ้นที่ 56 Kbps ตอนแรกมีมาตรฐานออกมา 2 อย่างคือ X2 และ K56Flex ออกมาเพื่อแย่งชิง
มาตรฐานกัน ทำให้สับสน ในการใช้งาน ต่อมามาตรฐานสากล ได้กำหนดออกมาเป็น V.90 เป็นการยุติความไม่แน่นอน
ของการใช้งาน โมเด็มบางตัวสามารถ อัพเดทเป็น V.90 ได้ แต่บางตัวก็ไม่สามารถทำได้ สำหรับโมเด็มปัจจุบันนี้ยัง
มีความสามารถในการรับส่ง Fax ด้วย ความไวในการส่ง Fax จะอยู่ที่ 14.4 Kb. เท่านั้น

  Router (เราท์เตอร์) คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ 3 หรือเลเยอร์เครือข่าย Router จะฉลาดกว่า 
Hub และ Switch 

Router จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ของแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อใช้ในการกำหนด หรือเลือกเส้นทางที่จะส่งแพ็กเก็ตนั้นต่อไป ใน Router จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเส้นทางให้แพ็กเก็ต เรียกว่า Routing Table (เราติ้งเทเบิ้ล) หรือ ตารางการจัดเส้นทาง ข้อมูลในตารางนี้จะเป็นข้อมูลที่ Router ใช้ในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดไปยังปลายทาง ถ้าเส้นทางหลักเกิดขัดข้อง Router ก็สามารถเลือกเส้นทางใหม่ได้

Bridge
             อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในเครือข่ายเพื่อต่อเครือข่ายภายใน (แม้ว่าจะใช้สายหรือโปรโตคอลในเครือข่ายที่ต่างกัน) เข้าด้วยกันเพื่อให้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ บริดจ์จะทำงานอยู่ในดาต้าลิงก์เลเยอร์ตามมาตรฐานของการสื่อสารระหว่าง คอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ของ International Organization’s Standards Open Systems Interconnection (ISO/OSI) บริดจ์ทำหน้าที่จัดการกับข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่าง 2 เครือข่าย ด้วยการอ่านตำแหน่งของข้อมูลทุกแพคเกตที่ได้รับ

Repeater คืออะไร 
       1) ในเครือข่ายระบบโทรคมนาคม repeater เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic) หรือ Optical transmission เพื่อขยายสัญญาณแล้วส่งต่อไปยังขาต่อไปของตัวกลม Repeater เหนือกว่า attenuation เนื่องจากปราศจากผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการสูญเสียในสายส่ง ชุดของ Repeater ทำให้มีความเป็นไปได้ในการขยายสัญญาตลอดระยะทาง Repeater ใช้เซกเมนต์ในการติดต่อภายในของ LAN เพื่อใช้ในการเพิ่มและขยายการส่งของเครือข่ายแบบ WAN บนสายหรือไร้สาย
ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสัญญาณ repeater สามารถขจัด "noise" หรือสัญญาณที่ไม่ต้องการ ซึ่งทำได้ในระบบดิจิตอล ในขณะที่สัญญาณแบบอะนาล็อก ใช้การเพิ่มความเข้มแข็งโดยการขยายความสูงคลื่น จึงมีโอกาสที่ทำให้การขยายส่วนของ "Noise" เช่นเดียวกับสารสนเทศ สัญญาณแบบดิจิตอลขึ้นกับการมาหรือไม่มาของความต่างศักย์ ทำให้การกระจายเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าสัญญาณแบบอะนาล็อก
ในระบบสายส่ง repeater เป็นสิ่งธรรมดา ประกอบด้วยวงจรขยาย และคู่ของตัวแปลงสัญญาณ impedance ของสายต้องจับคู่ได้กับการนำเข้าและการส่งออกของ วงจรขยายเพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การจับคู่ของ impedance จะลดผลสะท้อนของสัญญาณตลอดสาย
ในระบบการสื่อสารแบบไร้สาย repeater ประกอบด้วยวิทยุรับ ตัวขยาย, transmitter, isolator และเสาอากาศ 2 ชุด transmitter จะผลิตสัญญาณบนความถี่ที่ต่างจากสัญญารับ ที่เรียกว่า frequency offset เพื่อป้องกันความเข้มแข็งของสัญญาณ isolator จะเพิ่มการป้องกัน repeater ถ้าอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม เช่น บนอาคารสูง ภูเขา เพื่อความสามารถในการทำงานของเครือข่ายแบบไร้สาย โดยทำให้การสื่อสารมีความกว้างขวางขึ้น
ในระบบเครือข่ายแบบ Fiber optic repeater ประกอบด้วย Photocell ตัวขยาย light-emitting diode (LED) หรือ infrared-emitting diode (IRED) สำหรับแสงหรือสัญญาณ IR ที่ต้องการขยาย repeater ของ fiber optic ทำงานที่ระดับพลังงานที่ต่ำกว่าระบบไร้สาย ทำให้ง่ายกว่าและถูกกว่า แต่การการแบบต้องคำนึงถึงการลด "Noise"
        2) Bus repeater เป็นการเชื่อม bus ของคอมพิวเตอร์กับ bus ในคอมพิวเตอร์ตัวอื่น














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น