บทที่ 2 ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่าย
ส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN)
PAN คือ
"ระบบการติดต่อสื่อสารไร้สายส่วนบุคคล" ย่อมาจาก Personal Area Network หรือเรียกว่า BluetoothPersonal Area Network (PAN)คือเทคโนโลยีการเข้าถึงไร้สายในพื้นที่เฉพาะส่วนบุคคล
โดยมีระยะทางไม่เกิน 1เมตร
และมีอัตราการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงมาก (สูงถึง 480 Mbps) ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้กันแพร หลาย ก็เช่น• Ultra Wide Band (UWB) ตามมาตรฐาน IEEE 802.15.3a• Bluetooth ตามมาตรฐาน IEEE 802.15.1• Zigbee ตามมาตรฐาน IEEE 802.15.4เทคโนโลยีเหล่านี้ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง(peripherals) ให้สามารถรับส่งข้อมูลถึงกันได้
และยังใช้สำหรับการรับส่งสัญญาณวิดีโอที่มีความละเอียดภาพสูง (high-definition video signal) ได้ด้วยPersonal Area Network (PAN)ช่วยให้เราสามารถจัดการข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆที่เคลื่อนที่ไปมาได้อย่างหลากหลายคิดค้นโดยนักวิจัยของ
MIT รวมกับIBM โดยจะสร้างกระแสไฟฟ้าแรงต่ำ
(ระดับพิโคแอมป ) ออกไปตามผิวหนังโดยเครื่องรับสัญญาณตามจุดต่างๆ
ของร่างกายสามารถรับสัญญาณได้ เทคโนโลยีนี้จะเหมาะกับการใช้งานทางการแพทย์
เพราะอุปกรณ์ โดยมากจะมีการติดตั้งตามลำตัวมนุษย์พัฒนาโดย Bluetooth Special Interest Group (http://www.bluetooth.com/) เริ่มก่อตั้งในปี
1998 ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง
Ericsson, IBM, Intel, Nokia และ Toshiba ซึ่ง Bluetooth (บลูทูธ)
การสื่อสารระยะสั้น (Short-range
Transmission) ที่ติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอล โดยสามารถส่งและติดต่อข้อมูลแบบ Voice และ Data ระหว่างอุปกรณ์ที่เป็นคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือต่างๆ
(PC, Laptop, PDA, Mobile phone ฯลฯ)
โดยการติดต่อสื่อสารสามารถทำได้ทั้งแบบ point-to-point และ Multi-pointข้อดี-ข้อเสียของ Personal Area Network (PAN)
ข้อดีคือ1.
สะดวกต่อการใช้งาน
2. สามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
3. มีการรับรองเครือข่าย
4. สามารถนำอุปกรณ์ต่างๆมาใช้ร่วมกันได้
ข้อเสีย คือ
1. สื่อสารได้ไม่เกิน1 เมตร
2. การส่งข้อมูลอาจเกิดข้อผิดพลาดได้
3. ติดไวรัสได้ง่าย
4. ราคาแพง
ประโยชน์และการนำมาประยุกต์ใช้จากการที่กลุ่มของเราได้ศึกษาเกี่ยวกับ Personal Area Network (PAN) กลุ่มของเราได้รวบรวมความคิดและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันที่
จะประดิษฐ์ แว่นตาที่สามารถส่งสัญญาณผ่านเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว
โดยการประมวลภาพจากสิ่งที่เห็น
แล้วแปลงเป็นคลื่นสัญญาณส่งผ่านข้อมูลไปยังเครื่องรับข้อมูลกลาง
แล้วเครื่องรับข้อมูลกลางก็จัดส่งข้อมูลไปยังเครื่องรับตัวอื่นๆด้วย
เครือข่ายพื้นที่ส่วนบุคคลบลูทูธ (PAN) เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถสร้างเครือข่าย อีเทอร์เน็ต ด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่
โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์แบบพกพาต่างๆ
คุณสามารถเชื่อมต่อกับชนิดของอุปกรณ์ที่รองรับบลูทูธซึ่งใช้กับ PAN ได้ดังต่อไปนี้
อุปกรณ์สำหรับผู้ใช้เครือข่ายพื้นที่ส่วนบุคคล (PANU) อุปกรณ์ที่ให้บริการในเครือข่ายเฉพาะกิจแบบกลุ่ม
(GN) หรืออุปกรณ์ในจุดเข้าใช้งานเครือข่าย
(NAP)ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานของอุปกรณ์แต่ละชนิดดังกล่าว
•อุปกรณ์ PANU การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
PANU ที่รองรับบลูทูธจะสร้าง เครือข่ายเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ของคุณและอุปกรณ์ดังกล่าว
•อุปกรณ์ GN การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
GN ที่รองรับบลูทูธจะสร้างเครือข่ายเฉพาะกิจซึ่งประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ของคุณ
อุปกรณ์ GN ดังกล่าว
และอุปกรณ์ PANU ใดๆ
ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ GN
เดียวกัน
•อุปกรณ์ NAP การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
NAP ที่รองรับบลูทูธจะช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของคุณกับ เครือข่าย ที่ใหญ่กว่า
เช่น เครือข่ายภายในบ้าน เครือข่ายภายในบริษัท
หรืออินเทอร์เน็ตหมายเหตุโทรศัพท์มือถือและเครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล (PDA) บางเครื่องสามารถใช้งานได้เฉพาะกับเครือข่ายการเรียกผ่านสายโทรศัพท์
บางเครื่องใช้ได้เฉพาะกับเครือข่าย PAN และบางเครื่องสามารถใช้ได้กับบริการทั้งสองแบบ
เมื่อต้องการค้นหาว่าอุปกรณ์ที่รองรับบลูทูธของคุณจะสามารถใช้งานได้กับบริการใด
ให้ตรวจสอบข้อมูลที่มากับอุปกรณ์
2.2เครือข่ายภายใน
( Local Area Network : LAN )
LAN (Local Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น
เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ ไม่กว้างนัก อาจใช้อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรืออาคารที่อยู่ใกล้กัน
เช่น
ภายในมหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน
คลังสินค้า หรือโรงงาน เป็นต้น การส่งข้อมูลสามารถทำได้ด้วยความเร็วสูง
และมีข้อผิดพลาดน้อย
ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจึงถูกออกแบบมาให้ช่วยลดต้นทุนและเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงาน
และใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน
2.3เครือข่ายในเขตเมือง(Metropolitan Area Network : MAN )
เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดอยู่ระหว่าง Lan และ Wan เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้ภายในเมืองหรือจังหวัดเท่านั้น การเชื่อมโยงจะ
ต้องอาศัยระบบบริการเครือข่ายสาธารณะ จึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขา เหล่านั้นเข้าด้วยกัน
เช่น ธนาคาร
เครือข่ายแวนเชื่อมโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารไม่สูง
เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนในสาย
เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนำแสง
คลื่นไมโครเวฟ
คลื่นวิทยุ สายเคเบิล
|
2.4 เครือยข่ายวงกว้าง
(Wide Area Network : WAN)
เป็น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง เช่น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานทั่วโลก เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วย กัน อาจจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลกก็ได้ ในการเชื่อม
การติดต่อนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่ง ประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่ง
ข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันโดยปกติมี อัตราการส่งข้อมูลที่ต่ำและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาด การส่งข้อมูลอาจใช้อุปกรณ์ในการสื่อสาร เช่น โมเด็ม (Modem) มาช่วย
2.5 รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย ( Topologies )
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายหรือมักเรียก
สั้น ๆ ว่า โทโพโลยี เป็นลักษณะทั่วไปที่กล่าวถึงการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทางกายภาพว่ามีรูปแบบ
หน้าตาอย่างไร เพื่อให้สามารถสื่อสารร่วมกันได้และด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่นจะมีรูปแบบของโทโพโลยีหลายแบบด้วยกัน
ดังนั้น
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจแต่ละโทโพโลยีว่ามีความ
คล้ายคลึง หรือแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงข้อดีและข้อเสียของ
แต่ละโทโพโลยี และโดยปกติโทโพโลยีที่นิยมใช้กันบนเครือข่ายท้องถิ่นจะมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ
- โทโพโลยีแบบบัส
- โทโพโลยีแบบดาว
-โทโพโลยีแบบวงแหวน
-โทโพโลยีแบบต้นไม้ - โทโพโลยีแบบผสม |
2.6 ประเภทของเครือข่ายแลน
|
2.7 การสร้างเครือข่ายแลน
อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
ในระบบ LAN
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงนั้นมีไม่มากนัก
เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อต่อเชื่อมโยงเครือข่ายเท่านั้น
ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้
สายนำสัญญาณ
นับถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบเครือข่ายที่ทำให้ คอมพิวเตอร์
มีการติดต่อสื่อสารกันใน
ระยะทางที่ไกล สายนำสัญญาณ นั้นมีหลายชนิด
มากมายในปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ตามคุณสมบัติของสาย สภาพการใช้งาน
และความเหมาะสมการใช้งาน สายนำสัญญาณที่ใช้ในระบบ
LAN นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นลักษณะต่างๆ คือ สายสัญญาณ
แบบคู่บิดเกลียว ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นชนิด UTP (Unshield Twisted
Pair) เป็นสายคู่บิดเกลียว
4 คู่ใช้ยาว
ไม่เกิน 100 เมตร
สายที่ใช้ แบคโบน นั้น เป็นสายขนาด 25 คู่สายในมัดเดียว รองรับการสื่อสารได้สูงถึง 100
Mbps และ ประเภทที่
2 ชนิด STP
(Shield Twisted Piar) เป็นสายพัฒนามาจากสาย
UTP โดยมีชีลด์ห่อหุ้มภายนอก ใช้ข้อมูลการสื่อสารได้ 100 Mbps สาย
STP
ที่เป็นแบคโบน
นี้เป็นสายที่ออกแบบมาให้ไปได้ระยะทางที่ไกลขึ้น สายโคแอกเชียล เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ใช้กันมากเป็นสายนำ
สัญญาญที่ป้องกันสัญญาณรบกวนได้มากทีเดียว
สายชนิดนี้ในระบบบัส และใช้เดินระยะใกล้ๆ และ เส้นใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้
คลื่นแสง 500 nM-1300nM ส่งผ่านไปยังตัวกลางใยแก้ว
ซึ่งจะสะท้อนกลับภายใน ทำให้มีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก ทำให้ได้
ระยะทางที่ไกลขึ้นขณะที่ใช้กำลังส่งที่น้อยและมีสัญญาณรบกวนที่น้อย
มาก เมื่อเทียบกับ สายนำสัญญาณชนิดอื่นๆ สายชนิดเส้นใยแก้ว
นำแสงนี้มักใช้เป็นแบคโบน
โดยจะรองรับการสื่อสารได้สูงถึง 800 Mbps หรือมากกว่า แล้วแต่ล่ะชนิดที่นำมาใช้
อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย
อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่ายนั้นมีด้วยกันมากมาย
ด้วยคุณลักษณะของการใช้งาน แบบต่างๆ และยังคงได้รับการพัฒนาขึ้น
อยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN นั้นได้ยกตัวอย่างที่
พบกันมากดังต่อไปนี้ แผ่นการ์ดเครือข่าย เป็นแผ่นอินเตอร์เฟสสำหรับ
คอมพิวเตอร์ หรือแผ่นการ์ด NIC มีคุณสมบัติต่างที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่าย
และชนิดของคอมพิวเตอร์ อีกด้วย ฮับ (HUP) เป็นอุปกรณ์
ต่อพ่วงระหว่างสายตามมาตรฐาน 802.3 นั้นใช้เชื่อมโยงในโทโปโลยี
แบบสตาร์ ใช้สาย UTP ยาวไม่เกิน 100 เมตร และยังสามารถขยาย
PORT
ได้มาก
ดีรอมเซิร์ฟเวอร์ (CD-ROM Server) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในเครือข่ายเช่นเดียวกัน
เพื่อใช้แบ่งปันการใช้ข้อมูลต่างๆ ใน
CD-ROM เอง รีพีตเตอร์ (Repeater)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย
เพื่อช่วยให้ขยายสัญญาณให้สูงขึ้น ทำให้ส่งข้อมูลหรือสื่อสาร
ข้อมูลได้ไกลขึ้นนั้นเอง บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างระบบ โดยที่ บริดจ์
มีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือแบบ Internal Bridge
และแบบ External Bridge เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคล้ายกัย Bridge แต่จะใช้เชื่อมต่อกับระบบที่ใหญ่กว่ามี
ประสิทธิภาพที่สูงกว่า และความเร็วที่สูงกว่า และ เราเตอร์ (Router) เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย
ที่มีมากกว่า
หนึ่งเซกเมนต์ เพื่อกำหนดเส้นทางข้อมูลได้มากขึ้น
ต่อไป
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ
LAN
คือ
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ สามส่วนผลิตภัณฑ์บางชนิด
รวมสามส่วนไว้ในโปรแกรมเดียว บางชนิดก็ซับซ้อนกว่า
แบ่งงานออกเป็นโมดูล ลายตัว ส่วนแรกเป็นส่วนประกอบอยู่ในระดับล่างสุด
กับหน้าที่จัดเตรียมและดูแลการเชื่อมต่อให้คงอยู่ ซอฟต์แวร์ส่วนนี้
ประกอบด้วยโปรแกรม ไดรเวอร์ สำหรับเน็ตเวิร์คอแดปเตอร์
ส่วนที่เหลืออีกสองส่วนหนึ่งคือส่วนที่อยู่ในสถานีงานจะสร้างข่าวสาร การร้องขอ
และส่งไปยังไฟล์เซิร์ฟเวอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN จากดาวถึง 2
โปรแกรม
คือ Corbon Copy และ PC Anywhere โดยจะได้อธิบาย
ถึงการทำงานและความสามารถของมัน Corbon Copy นั้นใช้งาน Novell
LX และ
NetBEUI ส่วน PC Anywhere เวอร์ชัน 4.5 ของบริษัท
Norton นั้นเป็นภาพที่ทำงานด้วยเมนู มีการตรวจวิเคราะห์ Hard ware ที่คงอยู่
ลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ของโปรแกรมซึ่งจะเกี่ยวกับ
การใช้ Hard disk เมื่อเวิร์กสเตชัน
ต้องการใช้ข้อมูล ก็ส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อส่งให้ เซิร์ฟเวอร์ทำงาน
แต่ในทางปฏิบัติงาน NetWare
กระบวนการในการลำดับงานไม่สามารถกำหนดระดับ ความสามารถ ของงานได้
ดังนั้น งานที่มีการใช้งาน Hard disk มากๆ จะมีผลทำให้
การบริการกับงานอื่นๆ ช้าลงอย่างชัดเจน โปรแกรมที่เหมาะกับระบบ LAN
ก็คือ
ระบบงานที่ในลักษณะ Client Server ซึ่งจะเป็นการทำงาน
ที่สมบูรณ์ที่สุด
2.8 เครือข่ายแลนไร้สาย
(Wireless LAN)
แลนไร้สาย หรือ ไวเลสแลน (Wireless LAN, WLAN) คือระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกัน เป็นเครือข่ายภายในพื้นที่แบบไร้ สาย
โดยใช้คลื่นความถี่ วิทยุใน การเชื่อมต่อหรือสื่อสารกัน การเชื่อมต่อแลนไร้สายมีทั้งแบบเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน
และเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point)
คำว่า ไวเลส (Wireless) คือ ไม่มีสาย
ลองนึกภาพถึงแลนปกติที่เชื่อมต่อกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับสวิตซ์ (Switch) หรือฮับ (Hub) ด้วยสายสัญญาณที่เรียกว่า
สาย UTP แต่ไวเลส
คือการเชื่อมต่อที่ไม่มีมีสายแลนนั่นเอง
แลน (LAN or Local Area Network) คือระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายภายในพื้นที่
เช่นระบบแลนภายในบ้าน ในบริษัทหรือองค์กร ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
มาตราฐานความเร็วของแลนไร้สาย
ความเร็วที่ใช้ในการสื่อสารกันหรือเชื่อมต่อกัน มีมาตรฐานรองรับ เช่น IEEE
802.11a, b และ g ซึ่งแต่ละมาตรฐานจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน เช่นสำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11a มีความเร็วสูงสุดที่ 54
Mbps ที่ความถี่ย่าน 5 GHz
สำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11b มีความเร็วสูงสุดที่ 11
Mbps ที่ความถี่ย่าน 2.4 GHz
สำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11g มีความเร็วสูงสุดที่ 54
Mbps ที่ความถี่ย่าน 2.4 GHz
ในประเทศไทยอนุญาตให้ใช้ช่องคลื่นความถี่ที่ 2.4 GHz เป็นคลื่นความถี่เสรี
ที่ทุกคนสามารถติดตั้งและใช้งานได้
จึงทำให้ในประเทศไทยจะมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access
Point) ที่จำหน่ายเพียงสองมาตรฐานคือ IEEE
802.11b และ g เท่านั้น
เหตุใดเราจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี
Wireless LAN หรือเทคโนโลยีแลนไร้สาย
• สะดวกในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ Notebook/Laptop ไปมาภายในบริเวณที่มีสัญญาณของ Wireless LAN
โดยที่ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายหลักได้อยู่
• ในบางพื้นที่ เช่น
อาคารใหม่ๆ มักอาจไม่ต้องการให้มีการติดตั้งและเดินสายเคเบิลภายในตัวอาคารเพื่อ
ความสวย
งาม ดังนั้นในการสร้างระบบเครือข่าย อาจจะต้องมีการนำเทคโนโลยี Wireless LAN มาใช้งาน
• ในบางบริเวณภายในอาคาร
สายเคเบิลอาจมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถลากไปถึงจุดๆ นั้นได้
• การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายระหว่างอาคาร 2 แห่ง (Building-to-Building) อาจนำเทค
โนโลยี Wireless LAN มาประยุกต์ใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งสาย Fiber
Optic เพื่อเชื่อมต่อกันระหว่าง 2 อาคาร ในกรณีที่ระยะห่าง
ระหว่างอาคารทั้ง 2 นั้นห่างกันไม่มากนัก
• สามารถนำมาใช้ในการสร้างระบบเครือข่ายแบบชั่วคราว
เพื่อใช้ในการอบรม จัดงานแสดงผลงาน เช่น
นิทรรศการ หรืองานแสดงสินค้าต่างๆ
• สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานสำหรับภายในอาคารที่พักอาศัย
เช่น โรงแรม, คอนโดมิเนียม, หรือ
ตามบ้านพักตากอากาศต่างๆ
โดยที่พักเหล่านี้สามารถติดตั้ง Wireless
LAN เพื่อไว้เป็นบริการเสริมใหกับลูกค้า
ที่มาพักอาศัย
ซึ่ง
อาจจะมีการเก็บค่าบริการหรือค่าในการใช้งานระบบ Internet ผ่านระบบ Wireless
LAN ได้
ทำให้ผู้ที่มาพัก
อาศัยสามารถใช้งานระบบ Internet ได้
ข้อดีของเทคโนโลยี Wireless
LAN หรือแลนไร้สาย
ผู้ใช้งาน Wireless
LAN นั้นสามารถที่จะเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายขององค์กรได้ในทุกที่
ทุกเวลา
ภายในพื้นที่ที่สัญญาณของระบบ Wireless LAN ครอบคลุมถึง
การใช้งานระบบ Wireless
LAN ค่อนข้างง่ายและสะดวกรวดเร็ว
เพราะว่าเทคโนโลยี Wireless
LAN
นั้นเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใชงานได้ในลักษณะ Plug & Play โดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งสายเคเบิลให้เกิด
ความยุ่งยากและวุ่นวาย
เทคโนโลยี Wireless
LAN นั้นสามารถส่งสัญญาณ
เพื่อให้บริการในการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายได้
ในบริเวณที่ยากแก่การ
ติดตั้งและเดินสายเคเบิล รวมถึงบริเวณที่ไม่สามารถติดตั้งสายเคเบิลได้ด้วย
สำหรับ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใช้งานเทคโนโลยี Wireless LAN นั้นจะค่อนข้างสูงในขั้นแรก
แต่ถ้านับรวม
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใช้งานทั้งระบบ, ค่าบำรุงรักษา, อายุการใช้งานของอุปกรณ์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในกรณีต้อง
การขยายจำนวนของผู้ใช้งานในอนาคตแล้วนั้น
จะถือว่า Wireless LAN เป็นเทคโนโลยีที่ไม่แพงเลย
เป็นเทคโนโลยีที่สามารถกำหนดและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการใช้งานได้หลากหลายรูป
แบบ ตามแต่ที่เรา
จะนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ Application ของเรา
มาตรฐานการใช้งานของเทคโนโลยี
Wireless LAN หรือแลนไร้สาย
สำหรับมาตรฐานการใช้งานเทคโนโลยี Wireless LAN นั้นคือ มาตรฐาน IEEE 802.11 ซึ่งมาตรฐานนี้
จะสามารถส่งข้อมูลโดยใช้ความถ่ี
ในลักษณะคล้ายกับการส่งสัญญาณวิทยุ โดยมีช่วงความถี่ที่ใช้ในการส่งข้อมูล
ทั้งหมด 3 ช่วง ดังนี้
ช่วงความถี่นี้เป็นช่วงความถี่ในระบบแรกๆ
ที่มีการเริ่มใช้งานเทคโนโลยี Wireless
LAN โดยจะสามารถ
รับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วเพียง 1-2 Mbps
เป็นช่วงความถี่ที่มีการใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน
และสามารถใช้งานช่วงความถี่นี้ได้ในทุกประเทศทั่วโลก
ช่วงความถี่ 2.4 GHz นี้ สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 1 Mbps ไปจนถึง 11 Mbps แต่ก็จะครอบคลุม
พื้นที่ในการรับ-ส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่น้อยกว่าระบบที่
ใช้งานช่วงความ 900 MHz นอกจากนี้ในช่วง
ความถี่ 2.4 GHz นี้ยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็นมาตรฐานต่างๆ ได้อีก คือ มาตรฐาน IEEE 802.11b สามารถ
รับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 11, 5.5, 2 และ 1 Mbps ตามลำดับ
ขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่าง Access
Point กับ
Wireless
Card ซึ่งมาตรฐาน IEEE 802.11b นี้เป็นมาตรฐานการรับ-ส่งข้อมูลที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายใน
ปัจจุบัน
และอีกมาตรฐานที่มีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่บนช่วงความถี่ 2.4 GHz ก็คือ มาตรฐาน IEEE
802.11g ซึ่ง
สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงกว่า 20 Mbps
เป็นช่วงความถี่ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่สั้นที่สุดในทั้ง 3 ช่วงความถี่ แต่มีสามารถในการ
รับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 54 Mbps แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในบางประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ยังไม่สามารถใช้งานเทคโนโลยี Wireless LAN บนช่วงความถี่นี้ได้ ซึ่งการรับ-ส่งข้อมูลบนช่วงความถี่นี้ จะ
ทำงานอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.11a
ในระบบ LAN อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงนั้นมีไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อต่อเชื่อมโยงเครือข่ายเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้
อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย
อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่ายนั้นมีด้วยกันมากมาย ด้วยคุณลักษณะของการใช้งาน แบบต่างๆ และยังคงได้รับการพัฒนาขึ้น
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
คือ ระบบปฏิบัติการเครือข่ายประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ สามส่วนผลิตภัณฑ์บางชนิด รวมสามส่วนไว้ในโปรแกรมเดียว บางชนิดก็ซับซ้อนกว่า
แลนไร้สาย หรือ ไวเลสแลน (Wireless LAN, WLAN) คือระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกัน เป็นเครือข่ายภายในพื้นที่แบบไร้ สาย โดยใช้คลื่นความถี่ วิทยุใน การเชื่อมต่อหรือสื่อสารกัน การเชื่อมต่อแลน ไร้สายมีทั้งแบบเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน และเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านอุปกรณ์ กระจายสัญญาณ (Access Point)
คำว่า ไวเลส (Wireless) คือ ไม่มีสาย
ลองนึกภาพถึงแลนปกติที่เชื่อมต่อกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับสวิตซ์
(Switch) หรือฮับ (Hub) ด้วยสายสัญญาณที่เรียกว่า
สาย UTP แต่ไวเลส
คือการเชื่อมต่อที่ไม่มีมีสายแลนนั่นเอง
แลน (LAN or Local Area Network) คือระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายภาย
ในพื้นที่
เช่นระบบแลนภายในบ้าน ในบริษัทหรือองค์กร ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
มาตราฐานความเร็วของแลนไร้สาย
ความเร็วที่ใช้ในการสื่อสารกันหรือเชื่อมต่อกัน มีมาตรฐานรองรับ
เช่น IEEE 802.11a, b และ g ซึ่งแต่ละมาตรฐานจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน
เช่น
สำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11a มีความเร็วสูงสุดที่ 54
Mbps ที่ความถี่ย่าน 5 GHz
สำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11b มีความเร็วสูงสุดที่ 11
Mbps ที่ความถี่ย่าน 2.4 GHz
สำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11g มีความเร็วสูงสุดที่ 54
Mbps ที่ความถี่ย่าน 2.4 GHz
ในประเทศไทยอนุญาตให้ใช้ช่องคลื่นความถี่ที่ 2.4 GHz เป็นคลื่นความถี่เสรี
ที่ทุกคนสามารถติดตั้งและ
ใช้งานได้
จึงทำให้ในประเทศไทยจะมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ที่จำหน่ายเพียงสองมาตรฐานคือ
IEEE
802.11b และ g เท่านั้น
เหตุใดเราจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี
Wireless LAN หรือเทคโนโลยีแลนไร้สาย
• สะดวกในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ Notebook/Laptop ไปมาภายในบริเวณที่มีสัญญาณของ Wireless LAN
โดยที่ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายหลักได้อยู่
• ในบางพื้นที่ เช่น
อาคารใหม่ๆ มักอาจไม่ต้องการให้มีการติดตั้งและเดินสายเคเบิลภายในตัวอาคารเพื่อ
ความสวย
งาม ดังนั้นในการสร้างระบบเครือข่าย อาจจะต้องมีการนำเทคโนโลยี Wireless LAN มาใช้งาน
• ในบางบริเวณภายในอาคาร
สายเคเบิลอาจมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถลากไปถึงจุดๆ นั้นได้
• การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายระหว่างอาคาร 2 แห่ง (Building-to-Building) อาจนำเทค
โนโลยี Wireless LAN มาประยุกต์ใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งสาย Fiber
Optic เพื่อเชื่อมต่อกันระหว่าง 2 อาคาร ในกรณีที่ระยะห่าง
ระหว่างอาคารทั้ง 2 นั้นห่างกันไม่มากนัก
• สามารถนำมาใช้ในการสร้างระบบเครือข่ายแบบชั่วคราว
เพื่อใช้ในการอบรม จัดงานแสดงผลงาน เช่น
นิทรรศการ หรืองานแสดงสินค้าต่างๆ
• สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานสำหรับภายในอาคารที่พักอาศัย
เช่น โรงแรม, คอนโดมิเนียม, หรือ
ตามบ้านพักตากอากาศต่างๆ
โดยที่พักเหล่านี้สามารถติดตั้ง Wireless
LAN เพื่อไว้เป็นบริการเสริมใหกับลูกค้า
ที่มาพักอาศัย
ซึ่ง
อาจจะมีการเก็บค่าบริการหรือค่าในการใช้งานระบบ Internet ผ่านระบบ Wireless
LAN ได้
ทำให้ผู้ที่มาพัก
อาศัยสามารถใช้งานระบบ Internet ได้
ข้อดีของเทคโนโลยี Wireless
LAN หรือแลนไร้สาย
ผู้ใช้งาน Wireless
LAN นั้นสามารถที่จะเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายขององค์กรได้ในทุกที่
ทุกเวลา
ภายในพื้นที่ที่สัญญาณของระบบ Wireless LAN ครอบคลุมถึง
การใช้งานระบบ Wireless
LAN ค่อนข้างง่ายและสะดวกรวดเร็ว
เพราะว่าเทคโนโลยี Wireless
LAN
นั้นเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใชงานได้ในลักษณะ Plug & Play โดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งสายเคเบิลให้เกิด
ความยุ่งยากและวุ่นวาย
เทคโนโลยี Wireless
LAN นั้นสามารถส่งสัญญาณ
เพื่อให้บริการในการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายได้
ในบริเวณที่ยากแก่การ
ติดตั้งและเดินสายเคเบิล รวมถึงบริเวณที่ไม่สามารถติดตั้งสายเคเบิลได้ด้วย
สำหรับ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใช้งานเทคโนโลยี Wireless LAN นั้นจะค่อนข้างสูงในขั้นแรก
แต่ถ้านับรวม
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใช้งานทั้งระบบ, ค่าบำรุงรักษา, อายุการใช้งานของอุปกรณ์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในกรณีต้อง
การขยายจำนวนของผู้ใช้งานในอนาคตแล้วนั้น
จะถือว่า Wireless LAN เป็นเทคโนโลยีที่ไม่แพงเลย
เป็นเทคโนโลยีที่สามารถกำหนดและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการใช้งานได้หลากหลายรูป
แบบ ตามแต่ที่เรา
จะนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ Application ของเรา
มาตรฐานการใช้งานของเทคโนโลยี
Wireless LAN หรือแลนไร้สาย
สำหรับมาตรฐานการใช้งานเทคโนโลยี Wireless LAN นั้นคือ มาตรฐาน IEEE 802.11 ซึ่งมาตรฐานนี้
จะสามารถส่งข้อมูลโดยใช้ความถ่ี
ในลักษณะคล้ายกับการส่งสัญญาณวิทยุ โดยมีช่วงความถี่ที่ใช้ในการส่งข้อมูล
ทั้งหมด 3 ช่วง ดังนี้
ช่วงความถี่นี้เป็นช่วงความถี่ในระบบแรกๆ
ที่มีการเริ่มใช้งานเทคโนโลยี Wireless
LAN โดยจะสามารถ
รับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วเพียง 1-2 Mbps
เป็นช่วงความถี่ที่มีการใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน
และสามารถใช้งานช่วงความถี่นี้ได้ในทุกประเทศทั่วโลก
ช่วงความถี่ 2.4 GHz นี้ สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 1 Mbps ไปจนถึง 11 Mbps แต่ก็จะครอบคลุม
พื้นที่ในการรับ-ส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่น้อยกว่าระบบที่
ใช้งานช่วงความ 900
MHz นอกจากนี้ในช่วง
ความถี่ 2.4 GHz นี้ยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็นมาตรฐานต่างๆ ได้อีก คือ มาตรฐาน IEEE 802.11b สามารถ
รับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 11, 5.5, 2 และ 1 Mbps ตามลำดับ
ขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่าง Access
Point กับ
Wireless
Card ซึ่งมาตรฐาน IEEE 802.11b นี้เป็นมาตรฐานการรับ-ส่งข้อมูลที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายใน
ปัจจุบัน
และอีกมาตรฐานที่มีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่บนช่วงความถี่ 2.4 GHz ก็คือ มาตรฐาน IEEE
802.11g ซึ่ง
สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงกว่า 20 Mbps
เป็นช่วงความถี่ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่สั้นที่สุดในทั้ง 3 ช่วงความถี่ แต่มีสามารถในการ
รับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 54 Mbps แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในบางประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ยังไม่สามารถใช้งานเทคโนโลยี Wireless LAN บนช่วงความถี่นี้ได้ ซึ่งการรับ-ส่งข้อมูลบนช่วงความถี่นี้ จะ
ทำงานอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.11a
เทคโนโลยีที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลบน
เครือข่าย Wireless LAN หรือแลนไร้สาย
ในปัจจุบันเทคโนโลยีที่นิยมใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลบนระบบ
เครือข่ายแบบไร้สายนั้นมีอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน
ดังนี้
1. Frequency
Hopping Spread Spectrum (FHSS): FHSS
เป็นเทคโนโลยีเก่า
สามารถรองรับการรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วค่อนข้างต่ำแค่ประมาณ 1 - 2 Mbps
เท่านั้น FHSS จะใช้วิธีในการแบ่งข้อมูลเป็นส่วนเล็กๆ แล้วส่งข้อมูลไปในช่วงเวลาหนึ่งๆ
นั้น แต่ถ้าหากมีข้อมูล
ที่ต้องการจะส่งมากกว่า 1 ข้อมูล ก็จะทำการแบ่งการส่งข้อมูลในความถี่ที่แตกต่างกัน
โดยจะใช้การสลับกัน
ส่งข้อมูล
ใช้เวลาในการส่งข้อมูลแต่ละครั้งประมาณ 0.4 วินาทีในหนึ่งความถี่ ซึ่งสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้สูงสุด
ถึง 79 ช่วงความถี่ที่ต่างกัน
2. Direct
Sequence Spread Spectrum (DSSS)
วิธีการรับ-ส่งข้อมูลแบบ DSSS นี้จะใช้วิธีส่งข้อมูลแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ไม่มีการกระโดดเหมือนกับแบบ
FHSS โดยจะแบ่งช่วงความถี่ในการส่งข้อมูลเป็น 11 ช่วงความถี่ แต่ละช่วงความถี่จะใช้ค่าความถี่ประมาณ 22 MHz ทำให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงขึ้น
คือ ประมาณ 1 – 11 Mbps แต่เนื่องจากวิธีการรับ-ส่งข้อมูลแบบ DSSS นี้ใช้ช่วงความถี่ในการรับ-ส่งข้อมูลค่อนข้าง
กว้าง
ทำให้จำนวนของข้อมูลที่จะสามารถส่งไปพร้อมกันได้นั้น
ลดลงเหลือเพียง 3 ช่วงความถี่เท่านั้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น