บทที่ 12 การออกแบบเครือข่าย
การออกแบบระบบเครือข่ายนั้น
ก็ขึ้นอยู่ว่าผู้ว่าผู้ดูแลระบบเข้าทำงานในบริษัทขนาดใด
ในขั้นนี้คิดว่าคงพอมองภาพเกี่ยวกับ
การออกแบบระบบเครือข่ายขนาดต่างๆ กันแล้ว
โดยในการออกแบบระบบเครือข่ายนั้นผู้ดูแลระบบควรศึกษาและรู้จักสัญญา
ลักษณ์ ต่างๆ
ในระบบเครือข่ายกันว่า เขาใช้สัญญาลักษณ์อย่างไรกันบ้าง
สำหรับในรูปที่ผ่านมาจะเห็นว่า ผู้เขียนยังไม่วาง Firewall
และ IDS โดยในส่วนนี้จะกล่าวอีกครั้งในขั้นตอนสุดท้าย
คือขั้นตอนที่ 10
โปรแกรมที่นิยมในการออกแบบระบบเครือข่ายในปัจจุบันคือ Microsoft
Visio โดยใน Visio
จะ
มีสัญญาลักษณ์ในการออกแบบระบบเครือข่ายอย่างครบครันในฐานะเป็นผู้ดูแลระบบ
เครือข่าย จำเป็นต้องศึกษาและ
ใช้งานเครื่องมือตัวนี้ให้คล่องเช่นกัน
การเชื่อมต่อแบบนี้เป็นการติดต่อที่ง่ายที่สุดและถูกที่สุด
ในการสร้างเครือข่ายระบบนั้น เพียงกำหนด 2ส่วน คือ
“IP
Address” ของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แล้วเชื่อมต่อด้วย Hub กับ Switch
โดยจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ต่อกับโมเด็มอยู่แล้ว เป็นเครื่องที่เชื่อมต่อไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
แล้วทำการ
เปิดบริการ Internet
Connection Sharing (ICS) เพื่อทำการแชร์อินเทอร์เน็ตให้
เครื่องลูกข่ายภายในเวิร์กกรุ๊ป
(Workgroup) เดียวกัน
การเชื่อมต่อลักษณะนี้เหมาะสมสำหรับองค์การที่มีแผนกเดียว
การเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดกลางด้วย ADSL Routerเป็นระบบเครือข่ายที่มีเครื่องลูกข่ายจำนวนมาก
และอาจมี
การแบ่งเครือข่ายเป็นส่วนย่อย
ๆตัวอย่างเช่น ระบบธนาคาร, บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ,บริษัทการบินไทย ,บริษัท
ไอบีเอ็ม,กรมสรรพากร, เป็นต้น
ในการออกแบบระบบเครือข่ายแบบนี้จะมีความสลับซับซ้อนมากและคำนึงถึงระบบ
ความปลอดภัยเป็นหลัก
12.1
เริ่มต้นการออกแบบเครือข่าย
ก่อนเริ่มการออกแบบระบบเครือข่าย
หลักการพื้นฐานขั้นตอนแรกก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนการออกแบบสำหรับระบบเครือข่ายก็คือ
เราควรจะต้องมีการศึกษาถึงความต้องการ
การใช้งานระบบเครือข่ายที่แท้จริง
และระบบการทำงานขององค์กรก่อน
รวมถึงควรต้องมีการประเมินและวิเคราะห์ระบบเครือข่ายที่เรา
จะออกแบบอย่างละเอียดเสียก่อน
เพราะว่าแต่ละองค์กรก็จะมีความต้องการประโยชน์จากระบบเครือข่ายในด้านธุรกิจแตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่น บางองค์กรต้องการระบบเครือข่ายที่เน้นการเชื่อมต่อสู่ระบบ
Internet
หรือบางองค์กรต้องการระบบที่เน้นการรับ-ส่ง
ข้อมูลภายใน หรือบางองค์กรอาจจะต้องการระบบเครือข่ายที่เน้นการส่งข้อมูลแบบแพร่กระจาย
(Multicast/Broadcast Packet)
เช่นจำพวก
Video
Conference เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ผู้ออกแบบระบบเครือข่ายจะต้องศึกษาและคำนึงถึงก่อนที่จะ
เริ่มออกแบบระบบเครือข่ายให้แก่องค์กรนั้นๆ
หลังจากที่เราได้มีการศึกษาและวิเคราะห์ถึงรูปแบบความต้องขององค์กรที่เราจะำทำการออกแบบระบบเครือข่ายแล้วนั้น ขั้นตอนต่อ
มาที่เราจำเป็นต้องคำนึงถึงก็คือ
การแบ่งการทำงานออกเป็นส่วนๆ และมีการกำหนดลำดับความสำคัญของงานแต่ละส่วนไว้ ซึ่งจะทำ
ให้เรามีการวางแผนการทำงานได้ว่า
งานส่วนไหนควรจะลงมือทำก่อน งานส่วนไหนสามารถทำทีหลังได้ และจะทำให้ระบบเครือข่าย
ที่เราออกแบบมานั้นสามารถใช้งานได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด ซึ่งในครั้งนี้จะนำตัวอย่างการวิเคราะห์ระบบเครือข่ายในองค์กร 2 รูปแบบ
ทั้งองค์กรแบบ
Enterprise
และองค์กรขนาดเล็กหรือขนาดย่อมลงมา (SOHO - Small
Office Home Office) มาพูดคุยกันนะครับ
ระบบเครือข่ายขององค์กรระดับ Enterprise
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่
หรือที่เรียกว่าองค์กรลักษณะ Enterprise นั้น
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นองค์กรที่มีผู้ใช้งานระบบเครือข่าย (User)
เป็นจำนวนมากๆ
อาจเป็นหลักร้อยหรือหลักพันในบางองค์กร นอกจากนั้น
ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีอุปกรณ์ Server หลายๆ เครื่อง
สำหรับการเก็บข้อมูล
และระบบเครือข่ายอาจจะครอบคลุมบริเวณที่กว้าง อาจจะหลายๆ
ตึกในบริเวณเดียวกัน หรือบริเวณใกล้ๆ กัน
หรืออาจจะรวมไปถึงองค์กรที่มีระบบเครือข่ายครอบคลุมหลายๆ
จังหวัด ในกรณีที่มีสาขาหรือโรงงานหลายๆ แห่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบ
เครือข่ายลักษณะนี้จะเป็นการเชื่อมต่อกันของระบบเครือข่ายย่อยๆ
หลายเครือข่ายเข้ามาที่เครือข่ายหลัก หรือที่เรียกว่า Backbone
Network ซึ่งระบบเครือข่าย Enterprise นั้นส่วนใหญ่แล้วจะต้องการอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงและมีราคาแพง
และจำเป็นที่จะต้องมีผู้ดูแลระบบที่มีความรู้และเชี่ยวชาญมาจัดการและดูแลระบบเครือข่าย
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับระบบเครือข่าย
Enterprise
นั้นก็คือเรื่องของประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ Backbone
หรืออุปกรณ์เครือข่ายหลัก ซึ่งอุปกรณ์ที่จะมาทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ Backbone นั้นควรจะเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่สูง,
สามารถจัดการกับขนาดของข้อมูลมากๆ
หรือข้อมูลขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาจากเครือข่ายย่อยของสาขาต่างๆ ได้อย่างดี, ต้องรองรับการ
ขยายตัวของระบบเครือข่ายในอนาคตได้ดี, สามารถทำงานได้โดยปราศจากการขัดข้องที่ทำให้ระบบใช้งานไม่ได้
(Downtime)
หรือถ้ามีก็จะต้องทำให้เกิดน้อยที่สุด, เป็นอุปกรณ์ที่จัดการและดูแลไม่ยากจนเกินไป
และที่สำคัญก็คือจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบ
รักษาความปลอดภัยของข้อมูลภายในองค์กรที่ดีด้วย ซึ่งในส่วนของการเลือกอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้งานเป็นอุปกรณ์ Backbone
จะได้นำกล่าวถึงในครั้งต่อๆ
ไป
ระบบเครือข่ายขององค์กรระดับ SOHO (Small Office Home Office)
สำหรับระบบเครือข่ายขององค์กรขนาดเล็ก
หรือระดับ SOHO
นั้นจะมีความต้องการการใช้งานระบบเครือข่ายที่ไม่มากเท่าระบบ
เครือข่ายแบบ
Enterprise
ซึ่งเครือข่ายแบบ SOHO นั้นมักเป็นระบบที่ไม่ค่อยมีความซับซ้อนมากนัก
มีจำนวนผู้ใช้งานไม่ถึงหลักร้อย
การรับ-ส่งข้อมูลมักจะเป็นการรับ-ส่งภายในระบบเครือข่ายขององค์กรเป็นส่วนใหญ่ และผู้ดูแลระบบก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญมากนัก
ซึ่งต่างจากระบบ
Enterprise
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
ระบบเครือข่ายระดับ SOHO
ก็มีปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึงเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการออกแบบระบบให้ใช้
งานง่าย สามารถให้บริการผู้ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา และสิ่งที่ต้องคำนึงมากที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับการออกแบบเครือข่ายขนาดเล็กก็คือ
การรองรับการขยายตัวของระบบเครือข่ายในกรณีที่องค์กรมีการขยายและพัฒนาในอนาคต ทั้งในแง่ของขนาดของระบบเครือข่าย
และในแง่ของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นใหม่ด้วย
จะเห็นได้ว่า
หลังจากที่เราได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการ, รูปแบบ
รวมถึงระบบการทำงานขององค์กรต่างๆ แล้วนั้น
จะทำให้เราสามารถวางแผนในการออกแบบระบบเครือข่ายได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของขนาดของระบบเครือข่าย, เทคโนโลยี
ที่จะใช้ในระบบเครือข่าย รวมถึงการเลือกอุปกรณ์เพื่อเข้ามาใช้ในระบบเครือข่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงทั้งระบบ
ครือข่ายขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
ก็คือการออกแบบระบบเครือข่ายที่จะต้องรองรับการขยายและพัฒนาในอนาคต โดยระบบเครือข่าย
ที่ดีนั้นควรจะต้องรองรับการขยายขององค์กรทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้งาน, รูปแบบ
Application ใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ
ในอนาคตด้วย
รูปแบบการทำงานของระบบเครือข่าย
ในรูปแบบการทำงานของระบบเครือข่ายใดระบบหนึ่งนั้น
มักจะมีรูปแบบการทำงานอยู่ 2 แบบหลัก คือแบบ Peer-to-Peer และแบบ
Client/Server
รูปแบบเครือข่าย Peer-to-Peer
การทำงานของรูปแบบเครือข่าย
Peer-to-Peer
นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบที่จะใช้กับระบบเครือข่ายที่มีขนาดเล็กๆ
โดยการทำงาน
นั้นจะเป็นในลักษณะที่อุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีหน้าที่การทำงานที่คล้ายคลึงกัน
ไม่มีการแบ่งลำดับความสำคัญ
ของแต่ละเครื่องในระบบเครือข่าย
ส่วนมากการทำงานของระบบเครือข่าย
Peer-to-Peer
นั้นจะเป็นการใช้ข้อมูลของแต่ละเครื่องร่วมกัน หรือการ Share ข้อมูลนั่นเอง
หรือที่เราเีรียกว่าการทำงานในรูปแบบ
Workgroup ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการทำงานในรูปแบบ Peer-to-Peer
นี้จะมีจำนวนผู้ใช้งาน
ไม่เกินหลักสิบคน, มีจำนวนของข้อมูลที่มีรับ-ส่งกันไม่มากนัก
และยังไม่คำนึงถึงการขยายตัวของระบบเครือข่ายในอนาคตอันใกล้
รูปแบบเครือข่าย Client/Server
สำหรับการทำงานของเครือข่ายรูปแบบ
Client/Server
นั้นจะมีการแบ่งหน้าที่การทำงานของอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายเป็น 2
ส่วนคือ
- Server เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ แก่อุปกรณ์อื่นๆ
ในระบบเครือข่าย
- Client เป็นอุปกรณ์ที่ใช้บริการต่างๆ ที่อุปกรณ์ Server มีัให้บริการ
มีอุปกรณ์มาทำหน้าที่เป็น Server เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้งานต่างๆ หรือ Client ในระบบ ซึ่งอุปกรณ์ Server นั้นนอกจากจะมีหน้าที่ในการ
ให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลในระบบเครือข่ายแล้ว Server ยังเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาคอยจัดการเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ภายในองค์กรด้วย ซึ่งถือเป็นอีกข้อดีของรูปแบบเครือข่าย Client/Server เพราะว่าเราสามารถกำหนดรูปแบบการรักษาความปลอดภัย
ของข้อมูลในระบบเครือข่ายบนอุปกรณ์ Server และบังคับการใช้งานให้แก่ผู้ใช้หรือ Client ต่างๆ ในระบบเครือข่ายได้ ซึ่งจะทำให้มีการ
จัดการข้อมูลที่สะดวกมากขึ้น
ในการออกแบบระบบเครือข่ายนั้น จุดประสงค์หลักของเราก็คือ ต้องการระบบที่สามารถรองรับการรับ-ส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ระบบเครือข่ายส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะเป็นระบบที่มีรูปแบบการทำงานผสมกันทั้งแบบ Peer-to-Peer และแบบ
Client/Server ดังนั้นในการออกแบบระบบเครือข่าย เราจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสมขององค์กรว่าควร
จะใช้รูปแบบของเครือข่ายแบบใด
ที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้นนั้น เป็นการหลักพื้นฐานในการออกแบบระบบเครือข่ายนะครับ ในครั้งหน้า เราจะยังคงคุยกันถึงเรื่องการออกแบบ
ระบบเครือข่ายกันต่อครับ โดยที่เราจะมาคุยกันถึงเรื่องเทคโนโลยีที่จะเลือกใช้บนระบบเครือข่าย รวมถึงการเลือกอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้
ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก,กลางและใหญ่
ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรขนาดเล็ก
ที่มีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มาก
§ การเชื่อมต่อแบบนี้ จะติดตั้งง่ายและถูกที่สุด
โดยในการสร้างระบบเครือข่ายนั้น เราเพียงแค่กำหนด
§ อยู่แค่สองส่วนคือ “ค่า
IP Address” เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน และเชื่อมต่อ
§ มายัง Hub/Switch โดยมีเครื่อง 1 เครื่อง(ที่ต่อโมเด็มอยู่)
เป็นเครื่องที่เชื่อมต่อไปยังเครือข่ายอินเทอร์
§ เน็ต แล้วทำการเปิดบริการ Internet Connection Sharing
(ICS) เพื่อทำการแชร์อินเทอร์เน็ต
§ ให้เครื่องลูกข่ายภายในเวิร์กกรุ๊ป (Workgroup) เดียวกัน การเชื่อมต่อลักษณะนี้เหมาะสมสำหรับองค์
§ การที่มีแผนกเดียว
§ NAT ย่อมาจากNetwork Address Translation เป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงไอพีจริงมาเป็น
§ ไอพีปลอม
หรือเปลี่ยนจากไอพีปลอมวงหนึ่งไปเป็นไอพีปลอมอีกวงหนึ่งโดยในการทำ NAT นั้น
§ เราติดตั้งระบบ Windows Server 2000/2003(Routing and Remote
Access)หรือ
§ (Linux Server(IPABLES)แล้วเปิดบริการ NATส่วนมีการติดตั้ง
LAN CARD สองใบ
§ โดยใบแรกต่ออยู่กับ ADSL(ขานอก-eth0) ส่วนใบที่สองต่อเข้ากับ Hub/Switch (ขาใน-eth1)
§ เพื่อจ่ายไอพีให้เครื่องลูกเครื่องอื่นๆ วิธีนี้จะเป็นไอพีเครือข่ายAntiVirus หรือ Firewall ป้องกัน
§ อันตรายต่างๆ ก่อนเข้าสู่เครื่องลูกข่ายได้ จะว่าไปแล้ว
ก็เป็นการลงทุน ที่ไม่มีมากมายอะไร เพราะเครื่อง
§ ซีพีในปัจจุบันราคาถูกลงมาก
ระบบเครือข่ายขนาดกลาง เป็นระบบเครือข่ายที่มีจำนวนเครื่องลูกข่ายที่มากขึ้น
และต้องการความง่ายในการควบคุมดูแล
ระบบเครือข่ายขนาดกลางจะเริ่มมีการติดตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ใช้งานเองภายในองค์กร
ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เป็นระบบเครือข่ายที่มีเครื่องลูกข่ายจำนวนมาก
และอาจมีการแบ่งเครือข่ายเป็นส่วนย่อย ๆ
§ การออกแบบระบบเครือข่ายนั้น
ก็ขึ้นอยู่ว่าผู้ว่าผู้ดูแลระบบเข้าทำงานในบริษัทขนาดใด ในขั้นนี้คิดว่า
§ คงพอมองภาพเกี่ยวกับการออกแบบระบบเครือข่ายขนาดต่างๆ กันแล้ว โดยในการออกแบบระบบ
§ เครือข่ายนั้นผู้ดูแลระบบควรศึกษาและรู้จักสัญญาลักษณ์ต่างๆ ในระบบเครือข่ายกันว่า เขาใช้สัญญา
§ ลักษณ์อย่างไรกันบ้าง สำหรับในรูปที่ผ่านมาจะเห็นว่า
ผู้เขียนยังไม่วาง Firewall และ IDS โดย
§ ในส่วนนี้จะกล่าวอีกครั้งในขั้นตอนสุดท้าย คือขั้นตอนที่ 10 โปรแกรมที่นิยมในการออกแบบระบบเครือข่าย
§ ในปัจจุบันคือ Microsoft Visio โดยใน
Visio จะมีสัญญาลักษณ์ในการออกแบบระบบเครือข่าย
§ อย่างครบครันในฐานะเป็นผู้ดูแลระบบเครือข่าย
จำเป็นต้องศึกษาและใช้งานเครื่องมือตัวนี้ให้คล่องเช่นกัน
12.4 แนวทางขยายเครือข่าย
ระบบเครือข่ายของหน่วยงานบางหน่วยงานอาจมีเครือข่ายแค่เครือข่ายเดียว
บางหน่วยงานอาจต้องนำเครือข่ายหลายๆ
เครือข่ายมาต่อรวมกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
สำหรับระบบเครื่อข่ายขนาดใหญ่ สำหรับเครือข่ายแลนแบบมีสายที่เป็นไป
ตามมาตรฐาน IEEE ได้มาตรฐาน IEEE 802.3 หรือเรียกชื่อว่า
เครือข่ายแบบ Ethernet ที่นิยมใช้กันมี 3 ประเภท ได้แก่ 10 Basa
T,10
Basa 2 และ 10 Basa 5 ตัวเลขที่นำหน้าหายถึงความเร็ว
เช่น 10 หมายความว่ามีความเร็ว 10 Mbps คำว่า Basa
หมายความว่าเป็นเครือข่ายแบบ Baseband ส่วนตัวเลขที่ตามหลังหมายถึงระยะทางไกลสุดที่สามารถต่อได้
โดยให้คูณด้วย 100
แล้วมีหน่วยเป็นเมตร ถ้าหากเป็น 10 Basa 5 หมายความว่าส่งดวยความเร็ว
10 Mbps และไปได้ไกลสุด 500 เมตร
สำหรับตัว Tหมายความว่าเป็นการใช้สายแบบ
Twisted Pair
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น